Skip to main content

สรุปเรื่องความสัมพันธ์เป็นพิษของคู่พลังตรงข้าม "เอ็มพาธ VS นาร์ซิซิส" และทางออกที่ยั่งยืน

 หลังจากที่ได้เป็นทั้งผู้ดูและผู้ลงมือทำในสนามความสัมพันธ์ลักษณะนี้มาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว (ที่ได้รู้จักคำว่านาร์ซิซิสเป็นครั้งแรกจากคลิปหนึ่งใน TikTok) ทั้งจากปัญหาของตัวเองและของเพื่อน ๆ เอ็มพาธที่มาปรึกษากันส่วนตัว จนถึงวันนี้ 24 ต.ค. 2568 บีมได้มองเห็นมันชัดเจนจากมุมนกบินสูง (bird-eyed view) และบีมได้ตัดสินใจเอา "ฉลาก" คำว่า "เอ็มพาธ" กับ "นาร์ซิซิส" ออกไป เหลือแต่สิ่งที่เป็นจริงให้เราสัมผัสและเห็นได้เท่านั้น บีมจะสรุปส่งท้ายบทเรียนบทนี้ให้ดังนี้นะคะ

  1. ความสัมพันธ์แบบนี้ มองได้ทั้งมุมจิตวิทยา พลังงาน และจิตวิญญาณ การจัดการปัญหาความสัมพันธ์แบบนี้ให้จบ ถ้าจะให้เร็วแนะนำให้ใช้ร่วมกันไปเลยค่ะ มองด้วยมุมกว้างแบบจิตวิญญาณ และเอาวิธีจัดการที่เด็ดขาดได้ผลเร็วแบบทางจิตวิทยา เพราะมันเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นทางกายภาพ มันทำให้ระบบประสาทและสารเคมีในสมองเปลี่ยนแปลงไป มากน้อยเท่าไหร่อยู่ที่ความรุนแรงและระยะยาวของการอยู่ในความสัมพันธ์นี้ ทำให้มองเห็นอะไรผิดเพี้ยนจากความจริงไปเยอะมาก ส่วนในเชิงพลังงานนั้น จะตรงไปตรงมาที่สุด เพราะเป็นการสั่นสะเทือน ไม่ต้องมีคำพูดอธิบายอะไร ถ้ารู้สึกไม่ดีมากกว่าดี และให้โอกาสเขามาพอสมควรแล้ว มันก็ถึงเวลาต้องแยกกันจริง ๆ เพราะไม่เกิดประโยชน์กับใครเลยทั้งในเชิงชีวิตทางกายภาพและในเชิงการเติบโตทางจิตวิญญาณ พลังงานมันจะผูกกันอยู่แบบนี้ไปตลอด เราอยากจะทรมานแบบนี้ไปทุกภพชาติจริง ๆ เหรอคะ? ก็ต้องลองถามตัวเองดู เพราะจริง ๆ มันไม่มีอดีตหรืออนาคต มันมีแต่ว่าตอนนี้...เป็นยังไง แค่นั้นเลย จะเอาหรือไม่เอา ตัดสินใจเคลียร์ ๆ ไป ประมาณนี้ค่ะ
  2. บีมสังเกตตัวเองว่า ถ้าใช้คำว่า "เอ็มพาธ" กับ "นาร์ซิซิส" มันจะยึดติดอะไรบางอย่าง บีมเลยลองเลือกที่จะเอาคำพูดของมนุษย์และจัดประเภทออกไปก่อน แล้วดูมันตามจริง ดูทั้งตัวเรา และผู้ที่เรามองว่าเขาเป็นนาร์ ซึ่งพอมองตามจริงแล้ว ก็พบว่า จริง ๆ แล้วพลังเอ็มพาธกับนาร์ซิซิสมันมีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้วเหมือนหยินหยาง กลางวันกลางคืน ขาวดำ อะไรแบบนี้ค่ะ มันเป็น duality ที่ไม่ควรไปยึดติดเลย 
  3. อย่างตัวบีมเองเลย มองตัวเองในภาพรวมตั้งแต่เกิดมา บีมว่าบีมก็มีทั้งความเป็นเอ็มพาธและนาร์ซิซิสในตัวครบนะคะ เคยเป็นนาร์แบบแรง ๆ มาด้วยเหมือนกัน เคย manipulate คนมาเหมือนกัน แต่นานมากแล้วที่เป็นแบบนั้น แต่เราไม่รู้ตัวหรอกค่ะ ถ้าไม่ดูตัวเองดี ๆ ตัวรู้จึงสำคัญมาก ๆ 
  4. แล้วถ้าเรามองดี ๆ คนที่เราเห็นว่านิสัยดีหรือใจดีหลายคน เขาจะขีดเส้นแบ่งไว้ค่ะ ให้ได้นะ แต่ให้ได้เท่านี้ คือ เขาจะมีเส้นตรงนี้เอาไว้ Say No กับสิ่งที่เขาไม่ต้องการ นั่นแหละที่เอ็มพาธไม่มี จึงโดนทะลุทะลวงพรุนไปเลย หมดแรงกันไปเลย มันเกิดจาก "บาดแผลในวัยเด็ก" สำหรับเด็กที่โตมาในครอบครัวที่ความสัมพันธ์ที่บ้านไม่ราบรื่น พลังพ่อแม่ไม่ดี และปฏิบัติต่อลูกไม่ดีค่ะ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เอ็มพาธจะพัฒนาระบบป้องกันตัวเองขึ้นมา คือ เอาตัวรู้ไปไว้นอกตัวเองเพื่อสแกนหาความไม่ปลอดภัยในสภาพแวดล้อม (พ่อแม่) แล้วปรับตัวเอง ทำพฤติกรรม ให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน เช่น เงียบ ไม่พูด ไม่แสดงตัวตน อยู่เฉย ๆ ไป หรือพยายามทำดีเพื่อให้พ่อแม่ชมหรือให้ความรัก กลายเป็น people pleasure ไป 
  5. คือ ระบบประสาทอยู่ในโหมดป้องกันอันตรายตลอดเวลา เป็น highly sensitive นั่นเองค่ะ เหมือนระบบภูมิคุ้มกันของคนที่มีสภาวะอักเสบเรื้อรัง จะเป็นแบบนี้เลย คือ อะไรที่คนอื่นเขาไม่แพ้ ไม่อักเสบ กับคนคนนี้ จะแพ้เพราะภูมิคุ้มกันเขาจะจับทุกอย่างว่าเป็นอันตรายค่ะ
  6. พอเด็ก "เอ็มพาธ" รู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณ์ รู้สึกไม่ปลอดภัย ก็จะโตมาด้วยช่องโหว่นั้น เป็นรอยประทับทางพลังงานติดตัวมาเรื่อย ๆ เหมือนบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการมองเห็นและเยียวยาให้เป็นปกติ ระบบประสาทที่เป็นแบบนี้ ก็จะส่งสัญญาณออกไปตามหาพลังงานที่จะมาเป็นกระจกสะท้อนคือ "ฉันไม่มีคุณค่า ฉันไม่มีใครรัก ฉันไม่มีใครมองเห็น" ก็จะส่งคนที่มีพลังงานที่ทำให้คุณเล่นบทนี้ในชีวิตทางกายภาพเข้ามา และคุณก็คือพลังงานสะท้อนของเขา คือ ฉันควบคุมโลกใบนี้ได้ (โว้ย) ราว ๆ นี้ค่ะ เป็นกระจกสะท้อนกันและกัน
  7. รากเหง้าของปัญหาของคู่เอ็มกับนาร์ คือ มันให้และรับไม่สมดุล ทั้งนี้เป็นเพราะ คนที่ให้ ก็ให้มากเกินไป ให้เพราะอยากให้ตัวเองถูกรักและชื่นชม ให้แล้วรู้สึกมีคุณค่า และมักใช้คำว่า "ไม่หวังอะไรตอบแทน" อืม...คำพูดมันดูดีนะคะ แต่ในทางปฏิบัติ ธรรมชาติของสรรพสิ่งจะให้และรับแบบสมดุลเป็นปกติ ดังนั้น กลุ่มที่ให้มากเกินไปแล้วไม่รับอะไรเลย พลังก็จะอ่อนแอ ซึ่งคลื่นความถี่ของการละเลยและไม่รักตัวเองนี้ จะส่งออกไป ทำให้ไปเจอกับคลื่นของคนที่ต้องการพลังมาก ๆ อาจจะเพราะตัวเองขาดหรือเห็นตัวเองสำคัญมากกว่าคนอื่น เลยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เป็นได้ทั้งสองอย่าง 
  8. ซึ่งกลุ่มที่ตัวเองขาดพลัง จะเป็นนาร์ที่เรียกว่า "covert" ที่จะดึงและควบคุมพลังแบบเงียบ ๆ ไม่เสียงดัง มักเล่นบทเหยื่อให้น่าสงสาร ให้เรารู้สึกสงสารเวลาที่เขาต้องการพลังและดึงเราไว้ไม่ให้ไปไหน ในความเป็นจริงคือ ทุกคนต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เราไม่มีหน้าที่ไปรับผิดชอบชีวิตใครด้วยค่ะ ยกเว้นแต่เรามีพลังเยอะมากและคนที่เราอยากแบ่งปันให้ เขาก็เห็นคุณค่าและแบ่งปันกลับมาในปริมาณเท่า ๆ กัน มันจึงจะไปกันได้ ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งให้ตลอด ฝ่ายหนึ่งรับตลอดในบทเหยื่อ แบบนี้คนให้ก็มีวันหมดแรง 
  9. กลุ่มที่เห็นตัวเองสำคัญ จะเป็นนาร์ที่เรียกว่า "overt" กลุ่มนี้จะส่งพลังควบคุมแบบโจ่งแจ้งชัดเจน มักจะเป็นกลุ่มที่สถานะทางสังคมดี มีเงิน แต่จริง ๆ ข้างในคือ insecure สุด ๆ (บุคลิกภาพแบบรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย ต้องหาคนมาชื่นชม เอาพลังมาเติมให้เขารู้สึกสำคัญมากตลอดเวลา) 
  10. สรุปว่าไม่ว่าจะฝั่งเอ็มพาธหรือนาร์ซิซิส และไม่ว่าจะนาร์กลุ่มไหน ก็มาจากพื้นฐานเดียวกันคือ "insecure" รู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยทางอารมณ์ ซึ่งถามว่าพ่อแม่ผู้ปกครองผิดไหม บีมมองในมุมพลังงานและจิตวิญญาณแบบตรงไปตรงมานะคะ คือ ไม่มีใครผิดเลย แต่...มันเป็นคลื่นความถี่และจิตของแต่ละคนที่สั่งสมมาแบบนั้น เลยได้มาเกิดในครอบครัวที่สะท้อนให้เห็น soul ของกันและกันเท่านั้นเอง เพื่อให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาพลังงานให้สมดุล ให้ได้เข้าถึงความจริง ฯลฯ 
  11. ดังนั้น ถ้าอยากจะหลุดจากปัญหานี้ ต้องเลิกแปะ Label เอ็มพาธ-นาร์ซิซิส ไปก่อน แล้วมองทุกอย่างตามจริง ไม่ตัดสิน คือ เอาตัวรู้กลับมาในกายเราก่อน เอามาอยู่ที่นี่ให้ได้ก่อน เพราะคนที่เป็นเอ็มพาธ คือ ตัวรู้ไม่ค่อยอยู่ในตัวเองเพราะรู้สึกว่าร่างกายไม่ปลอดภัยค่ะ ก็ทำทุกวิธีให้เขากลับมาอยู่ในร่างกายนี้ อยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบันให้ได้มาก ๆ ก่อน แล้วตัดทุกอย่างออกให้เหลือแต่ตัวเอง จุดนี้ไม่ง่ายค่ะ เพราะการอยู่ในความสัมพันธ์นี้มานาน ๆ หรือตั้งแต่เป็นเด็ก วงจรของสมอง ระบบประสาท รวมถึงเซลล์ร่างกาย จดจำพลังงานและวงจรนี้ไปแล้ว ต้องใช้เวลาค่อนข้างพอสมควร และควรจะได้รับการสนับสนุนจาก community หรือผู้เชี่ยวชาญด้วย ทำคนเดียวมันท้าทายมาก เพราะ มันจะโดนดึงกลับเข้าหลูบเดิมได้เร็วถ้าสติไม่ทัน อาการสับสนจะเกิดขึ้นได้ถ้าโดนใช้มุกเดิมอีก เป็นต้น ต้องมีคนช่วยมอง ช่วยดึง แต่ที่สำคัญเราต้องเห็นความจริงเอง ด้วยสติและตัวรู้ของเราเอง แล้วตัดสินใจที่จะจบมันด้วยตัวเองค่ะ ไม่มีใครทำให้เราได้เลย ถ้าเราไม่ตัดเอง และที่สำคัญที่สุดที่บีมค้นพบ คือ ความชัดเจนค่ะ (clarity) เพราะ เอ็มพาธจะไม่มีเส้นแบ่งตัวตนชัดเจน ไม่มีขอบเขตบ้านของตัวเอง (บ้านทางพลังงานที่เรียกว่าออร่า) คือ จริง ๆ เรามีแต่เราไม่ขีดเส้นไว้ อะไรก็รับหมด เมื่อไหร่ก็ตามที่เอ็มพาธชัดเจนในตัวเองว่าต้องการหรือไม่ต้องการอะไรบ้าง และเคารพ soul กับหัวใจของตัวเองตามนั้น ซื่อสัตย์กับความรู้สึกจริง ๆ นาร์ซิซิสจะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่มีช่องให้ทำ
  12. พลังทั้งสอง (เอ็มพาธกับนาร์ซิซิส) มีประโยชน์ค่ะ ถ้ามีสมดุล เราจะเป็นผู้ให้และผู้รับที่ดี ชีวิตเราจะสมดุล มีความสุข รู้ว่าอะไรควรรับ อะไรไม่ควรรับ และต้องเข้าใจว่าไม่มีใครต้องรับผิดชอบชีวิตใคร และไม่ควรมีใครทำให้เรารู้สึกผิดที่ไม่ทำแบบนั้นด้วย ถ้าเขาทำ แปลว่าเขากำลังควบคุมเรา ทั้งที่เขาอาจไม่รู้ตัวด้วยนะคะ แต่เราควรรู้ก่อนและปฏิเสธไม่รับการควบคุม จะช่วยให้เขาเรียนรู้ไปด้วยค่ะว่ามันทำไม่ได้กับเพื่อนมนุษย์นะ อย่างน้อยก็กับเราที่เราไม่เอาพลังนั้นค่ะ ไม่น่ารัก 
  13. แต่ถ้าเราจะมองในมุมที่เป็นบุคคล เอ็มพาธ กับ นาร์ซิซิส เพื่อทำความเข้าใจ ก็สามารถทำได้นะคะ แต่สำคัญคือ อย่าไปยึดติดว่าเราเป็นอันนี้ เขาเป็นอันนั้น คือ มันเป็นแค่แนวโน้มตามธรรมชาติค่ะ เหมือนกับ ผู้หญิง มีร่างกายผู้หญิง แต่จริง ๆ ก็จะมีทั้งพลังหยินหยางในตัวแบบสมดุล จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีความสุขได้ หรือคนที่ร่างกายเป็นธาตุไฟแบบบีม คือ เขามีแนวโน้มสะสมไฟเยอะกว่าปกติและคนธาตุอื่น คนที่เป็นเอ็มพาธ ก็มีทั้งสองพลังงานในตัวที่จะต้องทำให้สมดุล นาร์ซิซิส คือ การเห็นแก่ตัว ซึ่งถ้าเห็นแก่ตัวอย่างพอดี มันจะมีประโยชน์ในมุมที่ปกป้องตัวเอง ยิ่งทำให้เรามีพลังที่ดี ช่วยเหลือคนอื่นได้มากขึ้นด้วย ช่วยจากการมีพลังมาก ไม่ใช่ไม่มีแล้วยังจะช่วย ก็ย่อมต้องหมดแรง หมดพลัง ชีวิตไม่เหลืออะไรเป็นธรรมดา
  14. มีคำกล่าวว่า "จักรวาลเป็นเพียงกระจกบานใหญ่ที่สะท้อน soul ของเราเท่านั้นเอง ทุกคนคือแสงจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน จริง ๆ ชีวิตก็ควรจะมีความสุข สดชื่น รื่นรมย์ ตามสภาวะธรรมชาติของแสง แต่บล็อกกรรม คือ พลังงานเก่า ความเชื่อ ความคิด อะไรเก่า ๆ มันตกค้างภายใน เหมือนเป็นสัตว์ประหลาดเกาะอยู่ มันก็ฉายออกมาในชีวิตจริงแบบตรงไปตรงมาเท่านั้นเองค่ะ" ดังนั้น ถ้าคุณอยากหลุดจากความสัมพันธ์แบบนี้ วิธีที่ดีที่สุด คือ กลับมาชัดเจนกับตัวเองก่อนค่ะว่า อยากให้ชีวิตเป็นแบบไหน จะเอาหรือไม่เอาอะไร แล้วตัดสินใจไปเลย มันมีแค่ 2 ทาง แต่นาร์เขาทำให้มันซับซ้อนไปเองค่ะ เพราะเรามีช่องโหว่หลายจุด ทั้งตัวรู้ก็ไม่อยู่กับเรา มองไม่เห็นตามจริง (ทั้งที่คนอื่นเห็น) รู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยทางอารมณ์ ฯลฯ มันแค่เลือกว่า จะเอาตัวเองหรือจะเอาเขา? 
  15. ส่วนคนที่มีลูกแล้ว บีมเข้าใจว่ามันยากมาก ๆ ค่ะในการตัดสินใจจะทำหรือไม่ทำอะไร บีมเองก็ท้าทายพอสมควร แต่สุดท้ายแล้ว คนเป็นแม่ก็ต้องมาดูตามจริงว่า ถ้าตัวเองไม่มีพลังที่ดี เราจะไปมีพลังดี ๆ ไปดูแลลูกยังไง ธรรมชาติเนี่ย ต้องมีเหลือเฟือนะ ถึงจะแบ่งปันออกไปได้ ตามหลักการถ่ายเทอากาศร้อนเย็นที่ใครก็เข้าใจได้ อยู่กับคนที่ดูดพลังเราทุกวัน โดยที่เราไม่สร้างตัวเองให้แข็งแรง เด็ก ๆ เนี่ย แม้เราไม่พูด เขารับรู้ได้ด้วยระบบประสาทค่ะ คนเราสื่อสารกันด้วยระบบประสาทนะ และมนุษย์ส่งคลื่นจากระบบประสาทไปสู่จักรวาลและได้รับสิ่งต่าง ๆ ตามระบบประสาทโดยตรงค่ะ แล้วเด็ก ๆ นี่เขารับเร็วกว่าเรามากค่ะ ดังนั้น อย่าทำเหมือนปกติ ทั้งที่มันไม่ปกติ จิตวิญญาณเด็ก ๆ รับรู้ได้ค่ะ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คุณต้องไปพิจารณาจัดการเองตามรายละเอียดของแต่ละบ้านอีกที
นั่นคือบทสรุปที่บีมได้เรียนรู้นะคะ บอกได้เลยว่า มองย้อนกลับไปมันน่ากลัวมากจริง ๆ มันทำลายชีวิตเราได้เลย มันทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตที่เป็นตัวเองได้เลยค่ะ บีมเลยอยากจะฝากไปถึงคนที่คิดจะมีลูก ถ้าไม่พร้อมแบบเหลือเฟือจริง ๆ ยุคนี้ อย่ามีดีกว่าค่ะ มันมีตัวแปรความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ถ้ายังไม่อยู่ใน flow ของคลื่นโลกใหม่จริง ๆ อย่าพึ่งมีลูกค่ะ เพราะกรรมจะไปตกที่เด็ก ๆ มันเป็นบาดแผลที่กว่าจะรู้ตัว ก็ฝังในตัวในพลังงานไปเยอะมาก ๆ การฮีลไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้เวลา ใช้ความเข้าใจ ใช้พลังงานเยอะนะคะ ตัดปัญหากันตั้งแต่ต้น ไม่มีดีกว่าถ้ายังไม่เข้า flow จริง ๆ ค่ะ ถ้ายังมีความกลัว ความขาด ความไม่มั่นคงภายในหรือภายนอก แก้ให้หมดก่อนแล้วค่อยมีค่ะ จะได้มีความรัก เวลา และเงินที่ล้นเหลือให้น้องได้จริง ๆ เป็นพลังใหม่ของโลกใหม่ของเราต่อไปค่ะ

แล้วบีมอยู่ตรงจุดไหนตอนนี้? บีมเข้าใจปัญหานี้ตามที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนั้นนะคะ ทางออกคือ การกลับเข้ามาฮีลและสร้างตัวเองใหม่ ใช้ชีวิตที่เป็นตัวเองจริง ๆ self-nourishing และความเห็นแก่ตัวเพื่อความสุขของตัวเองต้องมาก่อนค่ะ เขาเรียกว่า Sacred Selfishness ความเห็นแก่ตัวที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อก่อนเคยเห็นหนังสือ "จงเห็นแก่ตัว" ของพระท่านหนึ่ง หรือกูรูการเงิน คุณ Ken Honda ก็เคยพูดเรื่องนี้ คือ มันต้องมีพื้นที่สำหรับตัวเราเองค่ะ ที่เราต้องมีความสุขก่อน จึงจะให้คนอื่นได้ เราให้สิ่งที่เราไม่มีหรือมีน้อยไม่ได้ค่ะ นั่นคือความจริง

ความจริงอีกอย่างที่ต้องจำคือ ทุกสิ่งในชีวิตคือกระจกสะท้อนตัวเราแบบตรงไปตรงมา ถ้าเขายังอยู่ ต้องถามตัวเองว่า เขาทำให้เรารู้สึกยังไง เห็นตัวเองยังไง มันจะบอกบาดแผลที่เราติดในตัวเองได้เลยค่ะ ชัดเจนมาก เราก็กลับมาแก้เรื่องนั้นในตัวเองเลย คือ ดึงพลัง
กลับเข้ามา แก้ที่ตัวเอง มารักและดูแลตัวเองแบบเน้น ๆ เนื้อ ๆ แทน ถ้าเราคลื่นสูงแล้ว มันจะคัดคลื่นรอบตัวแบบอัตโนมัติเอง คลื่นเหมือนกันก็อยู่ด้วยกัน เท่านั้นค่ะ สรุปว่าต้องมาแก้ตัวเราเอง นาร์ซิซิสในชีวิตเป็นเพียงภาพสะท้อน soul ของเราที่ยังไม่เห็นคุณค่าในตัวเองและรักต้ว
เองเท่านั้นค่ะ

บีมพึ่งเห็นทุกอย่างชัดเจนแบบนี้ไม่นานมานี้ ก็ยังอยู่ในกระบวนการฮีลลิ่งและสร้างชีวิตของตัวเองใหม่เช่นกัน เพราะความเสียหายมันเยอะค่ะ แต่ฮีลจนเบาบางลงมากแล้ว มันก็ดีต่อทั้งเราและครอบครัวในภาพรวมเวลาที่เราฮีลพลังตัวเองและทำให้ตัวเองแข็งแรงขึ้นค่ะ มันส่งผลหากันหมด บีมเลิกฮีลทุกคน เลิกรับผิดชอบความรู้สึกของทุกคน เก็บพลังเข้าตัวทั้งหมดค่ะ เพราะเราขาดพลังมาทั้งชีวิตแล้ว และจะไม่เขียนหรือทำคอนเท้นต์เรื่องนี้จนกว่าจะมีสัญญาณให้ทำค่ะ ตอนนี้ขอตกผลึกกระบวนการสร้างชีวิตใหม่ของตัวเองไปแบบเงียบ ๆ ก่อนนะคะ 

ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ร่วมเดินทางกันมาในเรื่องนี้เป็นเวลา 1 ปีค่ะ ทำให้บีมได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก และได้พบทางออกที่แท้จริงในวันนี้แบบชัดเจนค่ะ หลายคนได้อ่านสิ่งที่บีมเขียนด้วยอารมณ์หนัก ๆ ก็อาจเป็นห่วงกัน บีมอยากบอกว่า ขอบคุณสำหรับความรักที่มีให้กัน แต่ไม่ต้องห่วงหรือสงสารนะคะ เพราะบีมรู้แล้วว่าต้องจัดการยังไงค่ะ การเขียนด้วยอารมณ์ดิบ ๆ หนัก ๆ เรียล ๆ เป็นเนื้องานที่ต้องส่งต่อความรู้สึกนี้ไปกระแทกจิตของทุกคนค่ะ ส่วนตัวบีม เข้าใจและไปตามกระบวนการชีวิตเลยค่ะ แก้ไปจนกว่ามันจะโอเคเหมือนทุกปัญหาที่เราต้องเจอนั่นล่ะค่ะ ปลายทางมันดีอยู่แล้วค่ะ 

แต่สิ่งที่บีมมีเยอะจนแบ่งปันได้ตอนนี้ คือ องค์ความรู้ด้านการดูแลร่างกายและสุขภาพที่สั่งสมมา 16 ปี ที่นำมาใช้จูนร่างกายกับคลื่นใหม่ของโลกตอนนี้ได้เลย บีมเลยทำช่องใหม่ ที่ย้ายพลังงานไปพูดเรื่องที่ตัวเองชอบ และมีผลลัพธ์ที่ดีแบบชัดเจนแทนดีกว่า ที่ใครเห็นก็ต้องทักอายุผิดทุกครั้ง และบีมก็ชอบแบ่งปันเรื่องนี้มาก ๆ ด้วยค่ะ ไม่ว่ากับใครก็ตามที่เขาต้องการจะฟัง เพราะอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงค่ะ บีมว่าอันนี้สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของทุกคน Health is Real Wealth. เป็นพรสูงสุดที่บีมขอบคุณเป็นอันดับแรกของทุกวันเลยค่ะ 

ช่องนี้นะคะ https://www.tiktok.com/@healandclean

แล้วพบกันค่ะ :)

ด้วยรัก
บีม
24 ต.ค. 


Comments

Popular posts from this blog

ที่มาของบล็อกนี้ และ อัพเดทงานล่าสุด (24 ต.ค. 68)

ที่มาของบล็อกนี้ เกิดจากตอนที่บีมดูคลิป Sit Down with Stand Up ที่ป๋าเต๊ดสัมภาษณ์พี่โน้ส อุดม แต้พานิช ไปได้ครึ่งตอน แล้วบีมก็รู้สึกว่า เราเองก็อยากรวบรวมทุกคอนเท้นต์ที่เราเคยทำมาให้คนอื่น ๆ ได้เรียนรู้เหมือนกัน ซึ่งพี่เขาเองก็มีจุดที่มีปัญหาอยู่ แต่เขาก็สร้างสรรค์อะไรมากมายได้ ใช้ชีวิตในแบบของเขามาได้เรื่อย ๆ และเขาก็พูดว่า จริง ๆ แล้วทุกคนมีสิ่งผุพังอยู่หมดล่ะครับ แต่แค่แสดงว่าเป็นปกติเท่านั้นเอง (จริง ๆ คำพูดอาจต่างจากนี้นะคะ แต่ใจความประมาณนี้ค่ะ) ซึ่งบีมเองก็เห็นด้วยมาก ๆ กับคำพูดนี้ค่ะ  คือ ด้านผุพังตามที่บีมเข้าใจ จริง ๆ มันคือ shadow หรือ เงาของเรา นี่เอง เป็นส่วนที่เราเก็บกดมันเอาไว้ ปฏิเสธมัน ละทิ้งมัน ซึ่งตัวบีมเองได้ทำ shadow work มานาน 6 ปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่ามันเรียกว่า shadow work คือ เราเผชิญหน้ากับโซนมืดในจิตเราแล้วโอบกอด มองเห็น เข้าใจ มันก็จะเบาบางและสลายหายไป ถ้าเรารู้วิธี process เขาได้ถูกต้อง เราจะสามารถเปลี่ยน shadow มาเป็นจุดแข็ง เป็นพลังงานที่สมดุลให้กับเราได้ค่ะ เพราะจริง ๆ เราไม่ใช่แค่แสง แต่คือ แสงและเงา เราคือ wholeness ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง ...